
9 เรื่องน่ารู้
แมวเป็นสัตว์ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและพฤติกรรมที่บางครั้งก็ยากจะเข้าใจ หากคุณอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับน้องๆ มากขึ้น ลองมาอ่านบทความนี้กัน
1. เสียง “เพอร์” (Purring) เกิดจากอะไร?
เสียง “เพอร์” หรือเสียงครางนุ่มๆ ที่มักเปล่งออกมา ในเวลาที่ดูสงบและผ่อนคลาย เป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และถือเป็นพฤติกรรม ที่ทั้งน่ารักและชวนให้มนุษย์รู้สึกอบอุ่น อย่างไรก็ตาม การเพอร์ไม่ได้หมายถึง “ความสุข” เท่านั้น แต่ยังมีมิติที่ลึกกว่านั้น ทั้งทางสรีรวิทยาและพฤติกรรม
กลไกการเกิดเสียงเพอร์
เสียงเพอร์ เกิดจากการสั่นของ กล่องเสียง (larynx) และ เยื่อหุ้มสายเสียง (vocal folds) โดยมีการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อกล่องเสียงอย่างเป็นจังหวะ ส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนที่ทำให้เกิดเสียง
การสั่นนี้เกิดขึ้น ทั้งขณะหายใจเข้าและหายใจออก (ไม่เหมือนเสียงร้องทั่วไปที่เกิดในทิศทางเดียว) ซึ่งเป็นเหตุผลที่เสียงเพอร์ของ จึงมีความต่อเนื่องและนุ่มนวล (Scientific American)
สมองจะส่งสัญญาณไฟฟ้าต่อเนื่องไปยังกระบังลมและกล้ามเนื้อกล่องเสียง ทำให้เกิดการหดตัวสม่ำเสมอที่ความถี่ประมาณ 25–150 Hz ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่มีผลต่อการเยียวยาและกระตุ้นกระดูกในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
เสียงเพอร์ไม่ได้แปลว่า “สุขใจ” เสมอไป
แม้เสียงเพอร์จะมักได้ยินเวลากำลังถูกลูบหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย แต่ในความเป็นจริง น้องๆ อาจเพอร์ในหลายสถานการณ์ที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่น:
เพอร์เมื่อป่วยหรือบาดเจ็บ: นักวิจัยเชื่อว่าอาจใช้เสียงเพอร์เป็นกลไก ปลอบโยนตัวเอง (self-soothing mechanism) และอาจมีผลช่วยลดอาการเจ็บปวด หรือกระตุ้นการฟื้นตัวของร่างกาย
เพอร์เพื่อเรียกร้องความสนใจ: ลูกแมวเริ่มเพอร์ตั้งแต่อายุไม่กี่วัน เพื่อใช้สื่อสารกับแม่ว่า “ยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรง” โดยเมื่อ โตขึ้นเสียงเพอร์ยังถูกใช้เมื่อต้องการอาหาร ความรัก หรือให้เจ้าของสังเกต
เพอร์ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด: บางครั้งจะเพอร์เมื่ออยู่ที่คลินิกสัตวแพทย์ หรือเมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัย เป็นการปรับสภาพจิตใจให้เย็นลง
📌 สรุป:
ประเด็น | รายละเอียด |
---|---|
กลไกเสียง | กล้ามเนื้อกล่องเสียง สั่นสะเทือน ขณะหายใจเข้าและออก |
ความถี่เสียง | ประมาณ 25 – 150 Hz |
ไม่ได้หมายถึงความสุขเสมอ | อาจใช้เพื่อผ่อนคลาย บรรเทาอาการเจ็บปวด หรือสื่อสาร |
ประโยชน์ทางสุขภาพ | อาจช่วยการฟื้นฟูกระดูก กล้ามเนื้อ และลดความเครียดทั้งในแมวและมนุษย์ |

2. ทำไมถึงชอบเล่นกล่อง ถุง และที่แคบๆ
คงคุ้นเคยกับภาพ น้องๆกระโจน เข้าไปในกล่องกระดาษ ถุงพลาสติก หรือพื้นที่แคบๆ อย่างเช่นลิ้นชัก ตู้ หรือช่องแคบใต้เตียง ไม่ว่าจะซื้อของเล่นราคาแพงแค่ไหน น้องๆก็มักจะเลือก “กล่อง” แทนเสมอ พฤติกรรมนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความซนอย่างเดียว แต่มีเหตุผลเชิงชีววิทยา และ พฤติกรรมสัตว์รองรับ
ให้ความรู้สึกปลอดภัย
น้องเป็นสัตว์นักล่าขนาดเล็กที่อยู่กลางห่วงโซ่อาหาร หมายความว่าพวก มันสามารถเป็นได้ทั้งผู้ล่าและเหยื่อ การมีพื้นที่แคบๆ หรือ ปิดล้อม เช่น กล่องหรือถุง จะช่วยให้รู้สึก ปลอดภัย เพราะสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อม ได้โดยที่ไม่มีใครเห็นตัวเอง
พฤติกรรมนี้เรียกว่า “ hiding behavior ” ซึ่งพบได้ทั่วไป ในสัตว์ที่มีสัญชาตญาณ หลบซ่อนตัวจากผู้ล่า
โดยเฉพาะเพิ่งย้ายบ้าน หรือ มีความเครียด การมีพื้นที่ซ่อนจะช่วยให้รู้สึกสงบขึ้น
กล่องช่วยเก็บความร้อน
น้องๆ ต้องการอุณหภูมิร่างกายที่อุ่นกว่ามนุษย์เล็กน้อย โดยอุณหภูมิแวดล้อม ที่เหมาะสมสำหรับอยู่ที่ประมาณ 30–36 องศาเซลเซียส
แต่ในบ้านของเรามักเย็นกว่านั้น โดยเฉพาะห้องแอร์กล่องที่มีผนังปิดล้อม จะช่วยเก็บความร้อน จากร่างกายได้ดี
พื้นผิวกระดาษแข็ง ยังให้ความรู้สึกแห้ง อุ่น และ ปลอดภัย จึงเหมาะเป็น ที่พักผ่อน
เป็นพื้นที่ฝึกพฤติกรรมล่า (Ambush Behavior)
เป็นนักล่าโดยธรรมชาติ ถึง แม้จะไม่ได้ล่าเพื่ออยู่รอด เหมือนในธรรมชาติ แต่แมวบ้าน ก็ยังแสดงพฤติกรรมล่า เช่น:
ซุ่มโจมตี (ambush)
สะกดรอย
กระโจนใส่เป้าหมาย
กล่องหรือพื้นที่แคบๆ จึงทำหน้าที่เหมือน “ฐานโจมตี” ที่ใช้ซุ่มและกระโดดใส่ของเล่น หรือแม้แต่เจ้าของที่เดินผ่าน
ลดความเครียดและฟื้นฟูสุขภาพจิต
พื้นที่ให้ซ่อนจะฟื้นตัว จากสถานการณ์เครียดได้เร็วกว่ามาก เช่น เพิ่งเปลี่ยนสภาพแวดล้อม
สัตวแพทย์มักแนะนำให้มี “พื้นที่ซ่อน” น้องที่มีปัญหาด้านพฤติกรรม หรือ มีความเครียด เช่น น้องๆที่เพิ่งถูกรับเลี้ยง หรือ น้องๆที่มีภาวะกลัวเสียง
📌 สรุปเหตุผลหลักที่น้องชอบกล่อง ถุง และที่แคบ
เหตุผล รายละเอียด ความปลอดภัย ซ่อนตัวจากภัยคุกคาม หรือ สิ่งแวดล้อมที่ไม่แน่นอน เก็บความร้อน ช่วยรักษาอุณหภูมิ ในร่างกายให้อบอุ่น (30–36 °C) กระตุ้นพฤติกรรมล่า ใช้ซุ่มโจมตี เป็นพื้นที่เล่นที่ เสริมพฤติกรรมธรรมชาติ ลดความเครียด โดยเฉพาะในน้องใหม่ น้องในศูนย์พักพิง หรือน้องที่ไม่มั่นใจ
3. ทำไมแมวชอบเอาของแปลกๆ มาให้?
เคยไหมที่น้องๆ ของคุณคาบของบางอย่างมาให้ เช่น หนู (ของจริงหรือของเล่น) แมลง ถุงเท้า หรือแม้แต่กระดาษขยะ? พฤติกรรมนี้มักเป็นผลมาจาก สัญชาตญาณนักล่า ที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
ในธรรมชาติ แม่จะล่าและนำเหยื่อกลับมาให้ลูกฝึกทักษะการล่า น้องๆ ที่บ้านบ้านเองก็แสดงพฤติกรรมนี้กับ “สมาชิกครอบครัว” ซึ่งก็คือมนุษย์ พวกมันอาจมองว่าเจ้าของไม่มีทักษะการล่า จึง นำของขวัญมาให้เป็นอาหาร หรือเป็นการฝึกฝน
อีกแง่หนึ่ง นักพฤติกรรมสัตว์เชื่อว่าอาจนำของมาให้เพื่อ:
แสดงความรักและความไว้ใจ
เสนอ “ของมีค่า” เพื่อแลกกับความสนใจ
หรือเพียงแค่แบ่งปันสิ่งที่มันสนุกด้วยก็เท่านั้น
แม้ยังไม่มีงานวิจัยที่สรุปแน่ชัดว่าทำไมจึงมีพฤติกรรมนี้ แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันในวงการพฤติกรรมสัตว์ว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสาร และการแสดงความผูกพัน ระหว่างน้องๆกับมนุษย์
4.ความเชื่อเรื่องหนวดแมว
หนวด (whiskers หรือ vibrissae) ทำหน้าที่รับข้อมูลจากสิ่งรอบตัว เช่น การวัดระยะ และรับการสั่นไหวทางอากาศ ช่วยในการนำทางและล่า
ในหลายวัฒนธรรม หนวดจึงถูกมองว่ามีพลังนำโชค แต่ทางวิทยาศาสตร์เน้นว่าหนวดเป็นอวัยวะรับความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน
5. กรุ๊ปเลือด
ระบบหมู่เลือดที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
กรุ๊ป A – พบมากที่สุดในทั่วไปทั่วโลก กรุ๊ป A พบได้ในช่วง 73–99.7 %
กรุ๊ป B – พบมากในบางสายพันธุ์ เช่น British Shorthair, Devon Rex กรุ๊ป B มีอัตราอยู่ระหว่าง 0.3–30 % ขึ้นกับสายพันธุ์
กรุ๊ป AB – พบได้น้อยมากและถือเป็นกลุ่มพิเศษ กรุ๊ป AB พบได้น้อยมาก ราว 0.14–1 %

6. เท้าหน้ามี 5 นิ้ว เท้าหลังมี 4 นิ้ว
ส่วนใหญ่มีจำนวนนิ้วไม่เท่ากันระหว่างเท้าหน้าและเท้าหลัง โดยทั่วไปแล้ว
เท้าหน้า จะมี 5 นิ้ว
เท้าหลัง จะมี 4 นิ้ว
ทั่วไปจะมีทั้งหมด 18 นิ้ว ซึ่งถือเป็นลักษณะปกติทางชีววิทยา นิ้วพิเศษที่เท้าหน้า (มักเรียกว่า “นิ้วโป้ง” หรือ dewclaw) ช่วยให้สามารถ จับของ ปีนป่าย หรือควบคุมทิศทางการเคลื่อนไหวได้ดี โดยเฉพาะเวลาล่าเหยื่อหรือเล่นของเล่น
บางตัวอาจมีนิ้วเกินกว่าปกติ ซึ่งเรียกว่า Polydactyl เป็นภาวะที่ไม่มีอันตราย มักพบในบางสายพันธุ์หรือสายเลือดเฉพาะ และยังมีความเชื่อในบางวัฒนธรรมว่า นิ้วเกินเป็นเรื่องนำโชคอีกด้วย
7. ลูกแมวมีตาสีฟ้าเสมอ
เคยสังเกตไหมว่า ลูกแมวทุกตัวเกิดมาพร้อมดวงตาสีฟ้า? นั่นเป็นเพราะว่า เม็ดสีในม่านตายังไม่พัฒนาเต็มที่ ในช่วงแรกเกิด ม่านตายังไม่มีเมลานินเพียงพอ จึงสะท้อนแสงออกมาเป็นสีฟ้าอ่อน ซึ่งถือเป็นลักษณะปกติทางชีววิทยา
เมื่อเริ่มโตขึ้น โดยเฉพาะช่วงอายุประมาณ 6–8 สัปดาห์ เมลานินจะเริ่มก่อตัวและแสดงสีตาที่แท้จริงออกมา เช่น เหลือง เขียว หรืออำพัน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของแต่ละตัว
ดังนั้น หากโตแล้วตายังเป็นสีฟ้า อาจเป็นลักษณะทางพันธุกรรมพิเศษ เช่น พันธุ์เปอร์เซีย หรือวิเชียรมาศ ซึ่งตาสีฟ้าเป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์

8. แมวก็ฝันได้ และละเมอได้
ไม่ได้แค่หลับอย่างสงบ แต่พวกมันยังสามารถ ฝัน ได้เช่นเดียวกับมนุษย์ ในระหว่างการนอนหลับ เข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งเป็นช่วง ที่สมองยังทำงานอยู่ แม้ร่างกายจะพักผ่อน โดยเฉพาะในช่วงนี้ สมองของน้องๆ จะประมวลผลประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จึงเป็นไปได้ว่ากำลัง “ฝัน” ถึงการล่า วิ่งเล่น หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเจ้าของ
คุณสามารถสังเกตได้ว่าน้องๆอาจกำลังฝันจากการที่:
หูหรือหนวดกระตุก
เท้าขยับเบาๆ คล้ายวิ่ง
ส่งเสียงคราง หรือน้ำเสียงแปลกๆ ออกมาเบาๆ ขณะหลับ
9. แมวเป็นซึมเศร้าได้
น้องๆ อาจดูเป็นสัตว์ที่รักสันโดษ และ อารมณ์คงที่ แต่จริงๆ แล้ว ก็สามารถประสบภาวะซึมเศร้าได้ เช่นเดียวกับมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมหรือความรู้สึกสูญเสีย เช่น
การย้ายบ้าน
การจากไปของเจ้าของหรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
การไม่ได้รับความสนใจหรือการถูกละเลย
อาการที่อาจบ่งบอกว่ากำลังซึมเศร้า ได้แก่:
กินอาหารน้อยลงหรือไม่กินเลย
นอนมากผิดปกติ หรือไม่ยอมเล่น
ซ่อนตัว ไม่ค่อยเข้าสังคมหรือหลบมุมตลอดเวลา
มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ก้าวร้าว หงุดหงิด หรือเงียบผิดปกติ
ขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ
หากคุณสงสัยว่าแมวของคุณกำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้า ควรพาไปพบสัตวแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพร่างกายก่อน เพราะอาการบางอย่างอาจเกิดจากโรคทางกาย ไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์เท่านั้น


Petology Thailand เป็น ศูนย์รวมนวัตกรรม สำหรับคนเลี้ยงสัตว์สมัยใหม่ เราเป็นกลุ่มวิศวกร รักสัตว์ที่ล้วนแต่เป็นทาส กันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นด้วย ความรักที่มีต่อ น้อง ๆ และประสบการณ์ ทางด้านวิศวกรรม ที่มีมาอย่างยาวนาน ถึง 15 ปีเราจึง คัดสรรสินค้าคุณภาพดีที่สุด เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนอง ความต้องการต่าง ๆให้แก่ ผู้เลี้ยงสมัยใหม่
ทั้งในด้านของฟังก์ชันที่สะดวกต่อการใช้งาน คุณภาพของสินค้าจากวัสดุ คุณภาพสูงความปลอดภัย ต่อผู้เลี้ยงและสัตว์เลี้ยง รวมถึงรูปลักษณ์ ที่ทันสมัยโดนใจ ผู้เลี้ยงรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำอัตโนมัติ เครื่องให้อาหาร ของเล่น รถเข็นสัตว์เลี้ยง ระบบดูแลสุขภาพและสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย ดูข้อมูลเกี่ยวกับเรา
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
“ฮีโร่ 4 ขา” กับการบริจาคเลือดสุนัข รู้ไว้ ช่วยชีวิตเพื่อนร่วมสายพันธุ์
วิวัฒนาการของแมวเป็นยังไง แมวคือเสือย่อส่วนจริงไหมคลายข้อสงสัย 6 เรื่องก่อนมาเป็นแมวบ้าน
กฎหมายเพื่อสัตว์เลี้ยง How To เตรียมตัวให้พร้อมก่อนกฎหมายใหม่จะบังคับใช้! สิ่งที่คนเลี้ยงสัตว์ต้องรู้ในปี 2569